เพราะเคยเป็นเด็กจึงมีวันนี้ 10 มกราคม 2020 – Posted in: People & Places
ใช่ว่าวัยเด็กที่โหดร้ายจะเป็นตัวกำหนดให้ชีวิตต้องล้มเหลว อย่างเช่นเจ้าของผลงานหนังสือทั้ง 4 เล่มนี้คือผู้ที่เคยผ่านวัยเด็กที่โชคร้ายมาก่อน แต่วันนี้พวกเขาสามารถหันกลับไปมองวันวานได้อย่างภาคภูมิใจ และขอบคุณวัยเด็กที่ทำให้พวกเขามีวันนี้ที่งดงาม
วัยเด็กที่โดนกดขี่ของชนพื้นเมือง “อินคา”
มารีอา บีร์คีเนีย ฟารีนังโก เป็นชาวเอกวาดอร์ เธอเกิดเติบโตมาในครอบครัวที่บรรพบุรุษคือชนเผ่าอินคาแท้ๆ เจ้าของอารยธรรมโบราณแห่งอเมริกาใต้ แต่กลับถูกฝังหัวมาว่าชนเผ่าอินคาต้อยต่ำ ภาษากีชัวล้าหลัง จนวันหนึ่งแม่ก็ขายเธอให้กับครอบครัวคนผิวขาวเชื้อสายโปรตุเกส เพื่อให้เธอมีโอกาสที่ดีกว่าการเก็บมันฝรั่งเหมือนแม่ แต่กลายเป็นว่าเธอต้องไปทำงานหนักราวกับเด็กรับใช้ ถูกกดขี่ กักกันอิสรภาพ และหวาดกลัวนายผู้ชายที่ใช้คำว่า “ลูกสาว” มาบังหน้าเพื่อหลอกล่อให้เธอไว้วางใจ จนในที่สุดเธอก็ปลดแอกอิสรภาพของเธอได้สำเร็จ และประกาศว่า
“หนูไม่ใช่สัตว์ หนูไม่เคยเป็น หนูเป็นมนุษย์มากเท่า ๆ กับลูกคุณ”
“หนูจะไม่มีวันกลับไปกับพวกคุณ ไม่มีวัน หนูจะหาทางส่งเสียตัวเองเรียนหนังสือจนจบ จะใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป…จะทำทุกอย่างที่หนูไม่เคยได้ทำตอนที่อยู่กับพวกคุณ…ถึงตอนนั้นหนูจะรู้ในใจว่าที่หนูประสบความสำเร็จได้ ไม่ใช่เพราะพวกคุณ…และบางทีสักวันหนูอาจจะให้อภัยคุณได้”
ในที่สุดมารีอา บีร์คีเนีย ฟารีนังโก ก็ได้เรียนหนังสือสมใจ และการศึกษายังทำให้เธอค้นพบว่าบรรพบุรุษของเธอคือเจ้าของอารยธรรมที่ควรภาคภูมิใจ อ่านเรื่องราวของเธอได้จาก “ราชินีอินคา”
เด็กน้อยทายาทนาซีกับวินาทีทิ้งลูกระเบิด
วินฟรีด ไวส์ เกิดในประเทศเยอรมันเมื่อปี ค.ศ.1937 เขาคือ “ทายาทนาซี” พ่อของเขาเป็นกองกำลังพิเศษของฮิตเลอร์ที่หายตัวไป เด็กชายวินฟรีดที่เติบโตมาท่ามกลางสงครามที่กำลังดำเนินไปอย่างดุเดือด ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งพรากความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยในครอบครัวตลอดจนประเทศชาติให้มลายหายไป…เขาเล่าถึงความทรงจำในวินาทีที่ลูกระเบิดแหวกท้องฟ้าลงมาว่า
“ตอน 11.15 น. ขณะที่ลูกชิ้นมันฝรั่งของแม่กำลังพองตัวกลายเป็นลูกบอลนุ่ม ๆ สัญญาณเตือนภัยของเราก็แผดดังขึ้น…โลกอันเป็นนิรันดร์พลันอยู่ในความเงียบ แต่ภายในบ้านมีเสียงอึกทึกปึงปังและความสับสนอลหม่าน…
11.34 น. เสียงวี้ดลูกแรกถูกทิ้งลงมาจากท้องฟ้า เสียงแหลมปรี๊ดนั่นชอนไชล้ำลึก ในขณะที่อากาศดูจะโหมกระแทกเร็วขึ้นๆ นำลูกระเบิดที่พุ่งลงมา ตามด้วยความเงียบชนิดที่มิอาจหยั่งวัดได้ ก่อนที่สวรรค์จะประกาศวันอวสานออกมา”
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่เด็กชายวินฟรีด ไวส์ ต้องเติบโตมาท่ามกลางสงคราม แต่นั่นก็ไม่ได้ปิดกั้นโอกาสในการประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา ในปี ค.ศ.1956 เขาได้อพอพไปอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และได้สอนวิชาภาษาเยอรมันและวรรณกรรมเปรียบเทียบที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียที่เมืองเฮย์วาร์ดจนมีชื่อเสียง อ่านเรื่องราวของเขาได้จากหนังสือ “ทายาทนาซี”
-
หมดชั่วคราว
เด็กหญิงที่เติบโตมาในรถปุโรทั่งและบ้านผุพังของพ่อ
จีนเน็ตต์ วอลล์ส เติบโตมากับพฤติกรรมของพ่อกับแม่ซึ่งดูแปลกประหลาดเหลือทน พวกเขาไม่ยอมรับกฎเกณฑ์ของสังคม ในการขยันหมั่นทำงานสร้างฐานะครอบครัวเหมือนกับชาวบ้าน ทำให้เธอและพี่น้องทั้ง 4 ชีวิตต้องอดๆ อยากๆ พากันไปคุ้ยขยะหาของกิน เติบโตมาในรถปุโรทั่งที่พ่อได้แต่ขับตะลอนหนีหนี้สินที่ตัวเองก่อไว้ไปตามรัฐต่าง ๆ ค่ำไหนก็นอนนั่น กว่าจะได้ลงเอยในบ้านที่ทำให้เธอมีที่ซุกหัวนอน แต่รายได้ของพ่อก็ไม่ได้ทำให้เธอและน้อง ๆ อยู่กันได้อย่างอิ่มท้องครบสามมื้อ
“พวกเราไม่มีใครได้เงินค่าขนมสักคนเดียว เมื่อไรก็ตามที่อยากได้เงิน เราก็จะเดินไปตามริมถนนเก็บกระป๋องเบียร์และขวดเปล่าเอาไปขายได้เงินชิ้นละสองเซนต์…หรือถ้าเป็นทองแดงจะได้สามเซ็นต์ต่อน้ำหนักหนึ่งปอนด์ หลังจากเอาขวดและเศษโลหะไปขายแล้ว เราจะเดินเข้าเมืองไปที่ร้านขายยาซึ่งอยู่ติดกับเดอะ อาวล์ คลับ ในร้านมีท้อฟฟี่ ช็อคโกแล็ตอร่อยๆ วางเรียงเป็นแถวให้เลือกมากมาย เราใช้เวลาเป็นชั่วโมงเพื่อตัดสินใจว่าจะใช้เงินสิบเซนต์ที่เรามาหาได้นั้นอย่างไรดี”
ภาวะหิวโหย บีบคั้นในวัยเด็กน่าจะทำให้เธอด้อยโอกาสทางสังคมเมื่อเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ แต่ในที่สุดเธอก็สำเร็จการศึกษา ได้ทำงานในนิตยสารที่เสนองานประจำให้ และได้เป็นนักเขียนรางวัล American Library Association Alex Award 2005 หนังสือของเธอได้รับการแปลแล้ว 34 ภาษาทั่วโลก ขายไปแล้ว 6 ล้านเล่ม และนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น
อ่านเรื่องราวของเธอได้ในหนังสือ ปราสาทของพ่อ
เด็กชายจากวรรณะจัณฑาลผู้ไร้เพื่อน และต่ำต้อยกว่าฝุ่นดิน
เด็กชายปีเกจเกิดและเติบโตในครอบครัวจัณฑาล ซึ่งเป็นวรรณะที่ต่ำต้อยยิ่งกว่าวรรณะศูทรซึ่งเปรียบได้กับเท้าของพระพรหม เขาเติบโตมาท่ามกลางความเดียดฉันท์ เป็นพลเมืองชั้นสอง ถูกสังคมรังเกียจราวกับเป็นกาฬโรค ไม่มีสิทธิ์เข้าไปในโรงครัวหรือโรงอาหารเพื่อกินอาหารร่วมกับนักเรียนคนอื่น ๆ ถ้ามีคนอื่น ๆ อยู่ข้างในเขาต้องไปนั่งรอข้างนอก แล้วพ่อครัวจะเอาชามใส่อาหารมาให้ โดยจะระวังไม่ให้ช้อนแตะต้องจานของปีเกจเป็นอันขาด บางวันเขาอาจจะได้กินแค่ข้าวอย่างเดียว เพราะคนอื่นๆ ได้กินแกงหมดแล้ว
แต่เป็นเพราะเขาไม่ท้อต่อโชคชะตาและเชื่อมั่นในรักแท้ที่ไม่อาจจะปิดกั้นอิสรภาพไม่ว่าเขาจะมีภูมิหลังที่ต่ำต้อยเพียงไร หลังจบการศึกษา จิตรกรผู้มีพรสวรรค์ในการวาดภาพเหมือน ได้ตัดสินใจปั่นจักรยานจากประเทศอินเดียไปยังสวีเดนเป็นระยะทางถึง 7,000 ไมล์ เพื่อไปตามหาล็อตต้า หญิงสาวชาวสวีเดนที่เขาเคยพบเธอและตกหลุมรักเมื่อครั้งเธอมาเที่ยวอินเดียในขณะที่เขาเป็นนักศึกษาวิทยาลัยศิลปะเดลี
การปั่นจักรยานครั้งนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล จนในที่สุดจากเด็กชายวรรณะจัณฑาลกลายเป็น ดร.อนันทะ ปรัทยุมนา ที่ได้โอกาสมายืนกล่าวสุนทรพจน์ในปราสาทขุนนางสวีเดนริดดาร์ฮูเซต ในสต็อกโฮล์ม ซึ่งมีใจความตอนหนึ่งว่า
“ตอนผมเป็นเด็กพวกเขาให้ผมกินฝุ่น แต่ตอนนี้พวกเขาเช็ดฝุ่นที่เท้าและสวมรองเท้าให้ผม ถ้าหากจะให้เกียรติจัณฑาลด้วยวุฒิด็อกเตอร์ ก็ถือได้ว่ามนุษย์ได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง แม้ว่าสงครามและความทุกข์ยากยังคงมีอยู่ก็ตาม”
“สมัยผมเป็นนักเรียน ผมเคยพยายามฆ่าตัวตายถึงสามครั้ง และในแต่ละวันผมต้องต่อสู้กับความหิวโหย”
“พวกคุณอย่าได้ขอบคุณผมเลยครับ พวกคุณควรจะขอบคุณตัวพวกคุณเอง”
แม้ “วัยเด็ก” สำหรับพวกเขาจะเติบโตขึ้นมาอย่างขาดพร่อง มอมแมม เนื้อตัวถลอกปอกเปิก ถวิลหาอ้อมกอดที่ไม่เคยได้รับ แต่โลกนี้ก็ไม่ได้แข็งกระด้างจนเกินไปหากเรามีความอดทนมากพอ
การที่ใครสักคนไม่เคยได้กินไอศกรีมในวัยเด็ก หรือไม่เคยได้รับการปกป้องจากพ่อและแม่ ไม่ได้แปลว่าชีวิตที่จะไม่มีวันประสบความสำเร็จ…มันอยู่ที่เราเลือกเองต่างว่าจะเดินไปลงบ่อโคลน หรือจะปีนขึ้นสู่ยอดเขาเพื่อไปไขว่คว้าหาดาว
คงถึงเวลาที่เราจะหันไปมองเด็กๆ ด้อยโอกาสในสังคม ยื่นมือออกไปให้มือน้อย ๆ เหล่านั้นได้เกาะเกี่ยว หรืออย่างน้อย ๆ ขอเพียงได้กระซิบบอกพวกเขาว่า “อดทนอีกหน่อยนะ…เดี๋ยวชีวิตมันจะโอเคไปเอง” ก็น่าจะเป็นการขอบคุณต่อวัยเด็กที่เราผ่านกันมาได้
ขอบคุณวัยเด็ก แทนหัวใจของเด็กน้อยทุกคนบนโลกใบนี้…เพราะเคยเป็นเด็กมาก่อน…เราจึงมีวันนี้