ในหมู่บ้านของเรา ฉันคือสิ่งที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "คนที่ยังไม่ตาย" ... หญิงหม้ายวันแปดสิบปี วันที่ไร้สามีนี้เชื่องช้ายาวนานนัก ฉันไม่สนใจอาหารพิเศษที่หมู่ตัน และคนอื่นๆจัดหาให้ ไม่เฝ้าคอยงานมงคลต่างๆ ที่มักจัดกันใต้หลังคาบ้านเราอยู่เสมอปัจจุบัน ฉันหวนหาแต่อดีต หลังจากผ่านชีวิตมาเนิ่นนาน ในที่สุดก็สามารถพูดถึงสิ่งต่างๆที่ไม่เคยพูดได้ในวันวารที่ต้องพึ่งพิงครอบครัวพ่อแม่เพื่อการเติบใหญ่ และต้องอาศัยครอบครัวสามีให้การเลี้ยงดูนั้น ฉันมีชีวิตใคร่เล่าขาน ในยามที่ไม่เหลือสิ่งใดให้สูญเสียมากนัก และเหลือน้อยคนที่จะสร้างความขุ่นเคืองให้ได้อีกแล้ว
ฉันแก่พอที่จะรู้ซึ้งถึงข้อดีข้อด้อยของตัวเอง ซึ่งข้อดีก็มักเป็นข้อด้อยด้วย ตลอดทั้งชีวิต ฉันโหยหาความรัก รู้ทั้งรู้ว่าฐานะหญิง ย่อมไม่เหมาะไม่ควรที่จะปรารถนาหรือวาดหวังถึงมันทว่า ฉันก็ยังคงหวัง และความปรารถนาที่ไม่ได้รับการเห็นชอบยอมรับนี้เอง คือรากเหง้าของปวงปัญหาที่ฉันประสบมาชั่วชีวิตวัยเด็ก ฉันฝันอยากให้แม่สนใจ อยากให้แม่และทุกคนในครอบครัวรัก และเพื่อจะได้ความรักใคร่ของญาติผู้ใหญ่ทุกคน ฉันจึงว่านอนสอนง่าย อันเป็นคุณสมบัติในอุดมคติของคนเพศฉัน และมีแต่จะเต็มใจเกินไปเท่านั้นที่จะทำทุกอย่างที่ผู้ใหญ่บอกให้ทำ ด้วยหวังจะได้รับความเมตตาซึ่งพวกเขาก็มีให้อยู่แล้วโดยวิสัย ฉันพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อแม่สมหวังในตัวฉัน รวมไปถึงการมัดเท้าให้ได้เท้าเล็กที่สุดในอำเภอ แม้ต้องทนกับกระดูกหักร้าวก็ยอม เพื่อให้เท้าได้รูปสวยงาม
เมื่อรู้สึกว่าทนกับความเจ็บปวดต่อไปไม่ไหว ปล่อยให้น้ำตาร่วงเผาะลงบนผ้ามัดเท้าเปื้อนเลือด แม่จะพูดเบาๆข้างหูอย่างอ่อนโยนว่า ทนอีกสักชั่วโมงเถอะ ทนอีกวันนะ ทนอีกสักอาทิตย์เถอะ แม่คอยย้ำเตือนถึงรางวัลที่ฉันจะได้มาถ้าทนอีกสักนิด ในลักษณธนี้เองที่แม่สอนให้รู้จักอดทน และไม่ใช่แค่การมัดเท้าหรือการคลอดบุตรอันเป็นการทดสอบทางกายเท่านั้น แต่ยังหมายถึงจิตใจ ความคิด และ วิญญาณซึ่งรวดร้าวทรมานยิ่งกว่า แม่ยังชี้ให้ฉันเห็นข้อบกพร่องต่างๆของตัวเอง และสอนฉันว่าจะใช้มันเอื้อประโยชน์ต่อตนเองได้อย่างไร เราเรียกความรักชนิดนี้ของแม่ว่า "เถิง อ้าย" ลูกชายฉันบอกว่า คำนี้ประกอบด้วยอักษรสองตัวในภาษาเขียนของผู้ชาย ตัวแรกนั้นแปลว่า ความเจ็บปวด ส่วนตัวที่สองแปลว่า ความรัก และนั่นเองคือความรักของแม่
การมัดเท้าไม่เพียงแต่เปลี่ยนรู