ถึง...แม่ และ ฟรังโคเนีย
บทที่ 1
ตอนที่แม่บอกว่า “ลูกดิ้นครั้งแรกก็ตอนเปิดหลุมศพยายนี่แหละ!” ผมกับแม่มองสุสานของยายที่เปิดอยู่ ผมรู้เลยว่า ผมคงต้องรอให้สุสานปิดก่อน แม่ถึงจะเล่าเรื่องกำเนิดของผมต่อ จุดเริ่มต้นของผมช่างดูเร้นลับเหลือเกิน ยายของผม ถูกฝังในวันที่อากาศหนาวเย็น ท่ามกลางหิมะที่กำลังตกหนักของเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1937 ผมตัวป่วนรุ่นจิ๋ว ที่ก่อกำเนิขึ้นในครรภ์
จากส่วนผสมของของเหลวในเซลล์ รวมกับอสุจิ ไข่ และโปรตีนนั้นก็เริ่มมีชีพจรเต้นตุ้บๆ อยู่ภายในตัวแม่ ทำให้แม่แพ้ท้อง ท้องของแม่เกร็งเป็นตะคริว จนแม่ต้องออกจากงานศพก่อนพิธีจะเสร็จมันเกิดขึ้นที่มุนนาร์ชตัดท์ แคว้นบาวาเรีย บ้านเกิดของแม่ผม ซึ่งเป็นเมืองเล็กเก่าแก่สมัยเมดิเวิลเอจ—ยุคกลางของยุโรป 12 ที่มีหอคอยและกำแพงป้องกันแน่นหนา พอออกจากงานศพได้ แม่ก็ตรงไปที่บ้านยายของผมที่ล่วงลับไปแล้ว แม่นอนพักบนเก้าอี้นวมตัวยาวในห้องนั่งเล่น ถัดจากร้านขายของชำของยายที่มีทั้งดอกไม้ เนื้อกวางและอะไรอีกสารพัดที่ทำกำไรขนาดมีเงินเก็บเป็นก้อน เป็นกำเลยทีเดียว แม่หายใจเอากลิ่นของแห้ง กลิ่นพื้นห้องลงขี้ผึ้ง และผักต่างๆ ที่ส่งกลิ่นฉุนมาจากห้องโถงใหญ่มืดๆ ข้างนอกนั่นเข้าไป ผมก็เลยพลอยได้สูดกลิ่นพวกนั้นไปด้วย
เล่าถึงตอนนี้ แม่ทำสีหน้าเลื่อนลอย ไม่แน่ใจว่ารู้สึกยังไงกับโปรตีนก้อนกลมในท้องแม่ สุดท้ายแม่เอ่ยออกมาว่า ตอนนั้นแม่อายุ สามสิบแปด พ่อผมอายุสามสิบเก้า พ่อกับแม่มีลูกสาวแล้วสองคนคือ อิลเซอ กับ แกร์ทรูเดอ และแม่ไม่อยากหวนกลับไปหาผ้าอ้อมและค่ำคืนที่ต้องอดตาหลับขับตานอนอีกแล้ว แต่แล้วแม่ก็พูดต่อว่า แต่พ่อมีความสุขมาก พ่ออยากได้ลูกชาย แม่ยิ้มให้ผม ผมจึรู้สึกโล่งอกเพราะผมทำสำเร็จ! เรื่องถึงเดินต่อมาได้ แล้วผมก็เจริญเติบโต จากเดือนกุมภาพันธ์
ไปสู่เดือนพฤศจิกายน จนฤดูใบไม้ผลิมาเยือน ขยับต่อไปยังฤดูร้อนที่อบอุ่น แต่ไม่ร้อนถึงขนาดแสบสันจนเกินไปอย่างที่ตำบลฟารร์ไวสัคในแถบฟรังโคเนียเหนือ ส่วนที่อยู่เหนือสุดของแคว้นบาวาเรีย โดยมีเมืองบัมแบร์กอยู่ไม่ไกลนักทางทิศใต้ของตำบล ส่วนทางตะวันออกติดเมืองขนาดใหญ่ที่ชื่อ ไบรอยธ์ทุ่งข้าวสาลี ป่าไม้ ทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เนินลาดเป็นคลื่นขึ้นลง ปราสาทบาโรค 13 และซากปรักหักพังจากยุคกลาง คือสิ่งที่แวดล้อมตัวผมขณะนั้น
ตอนที่ผมสุกงอมเต็มที่เหมือนผลแอปเปิ้ลฟรังโคเนีย หรือไม่ก็ลูกแพร์ หรืออาจแย่ถึงขั้นหัวผักกาด อยู่ในท้องแม่ พ่อผมยังเป็นตำรวจ สังกัดกองตำรวจภูธร คอยดูแลพื้นที่แถบชนบท เราเช่าอพาร์ตเมนต์อยู่ มันเป็นบ้านเก่าแก่หลังใหญ่อลังการ เคยเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทลิคเตนชไตน์ 14 แต่ตอนนี้เป็นสมบัติของเจ้าของที่นาตระกูลคูฮ์น นายคูฮ์นผู้รักการขี่ม้า เพิ่งจะตัดสินใจเข้าร่วมกับหน่วยเอสเอส—องครักษ์พิเศษของฮิตเลอร์ เนื่องจากในพื้นที่แถบนี้มีสมาคมขี่ม้าอยู่ที่เดียวคือที่หน่วยเอสเอ รองเท้าบู๊ทสำหรับขี่ม้าของเขาส่งเสียงแตกแปร่งสะท้อนไปบนกระเบื้องในห้องโถงใหญ่
ขณะที่ผมกำลังนอนดูดสายสะดือเพื่อตักตวงเอาทุกอย่างจากแม่ให้มากที่สุด ฮิตเลอร์สร้างเครื่องบินเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนพ่อผมก็ได้รับเหรียญทองแดงประดับยศทหารกองหนุนของฮิตเลอร์ ที่เรียกว่าเอสเอ-สปอร์ท 15 ประทับหมายเลข 001249806 เอาไว้ใต้วลี “ในนามของฟูฮ์ราร์”-ท่านผู้นำ ในรูป พ่อตัดผมสั้นเกรียน ดูเหมือนจะใส่เครื่องแบบสีดำมีเครื่องหมายตรายศทุกชนิด ประดับที่หน้าอกซ้าย ภาพนั้นพ่อดูแย่มาก ด้วยเหตุที่ช่างภาพพยายามปรับแต่งเสียจนผิวของพ่อดูหยาบกร้านเหมือนหนังปลอมๆ
ส่วนภาพของแม่และพี่สาวของผมในปีนั้น อยู่ในชุดกระโปรง ฤดูร้อน พวกเธอนั่งอยู่ในทุ่งหญ้าริมฝั่งแม่น้ำบ้าง ในแนวป่าที่ถาง
โล่งเตียนบ้าง ส่งยิ้มให้กล้องถ่ายรูปอักฟาสีดำของพ่อ พี่สาวทั้งสองของผมไว้ผมทรงบ็อบสั้นติดหู เรามีสุนัขพันธุ์สเปเนียล (ที่เคยคาบหนอนมาให้พี่แกร์ทรูเดอ) บางรูป แม่ทำท่าถือหมวกปีกกว้างสีขาวไว้ในมือ หรือไม่ก็ทำท่าดมดอกไม้ กระโปรงของแม่ซ่อนผมไว้เสียมิดชิด ในขณะที่ผมเอาหูแนบ แอบฟังเสียงต่างๆ อยู่ที่ผนังรกของแม่ชีวิตของพวกเราดำเนินไป
ในฟรังโคเนีย ทุกคนอยู่อย่างมีความสุขดี
ในหุบเขาและแนวป่าแห่งปี 1937 พ่อทำหน้าที่ของพ่อ แม่ก็ดูแลเรื่องงานบ้านไป แล้วพ่อก็ได้เลื่อนยศอีกครั้ง มันเหมือนการเลื่อนขั้นครั้งก่อนนั่นแหละ กล่าวคือ มันถูกประกาศให้รู้ทั่วกันผ่านทางกระดาษเกรดเอสีครีมหนาหนัก ลงลายมือชื่ออธิบดี กองกำกับการตำรวจภูธรแห่งเยอรมัน ภายใต้คำว่า “ไฮเอล ฮิตเลอร์” “(สดุดีฮิตเลอร์) มีลายมือฮิตเลอร์พิมพ์กำกับ แม่ของผมไปประชุม กับองค์กรเคลื่อนไหวนักสังคมนิยมสตรีแห่งชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนวิธีการทำคุกกี้ ถักนิตติ้งถุงเท้าให้คนจน พร้อมกับขับร้องเพลงเยอรมัน ไปพลาง แม่ต้องฟังคำบรรยายเกี่ยวกับภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์ของสตรีเยอรมัน และเพราะผมใกล้คลอดเต็มแก่ แม่จึงมีอารมณ์เจ้าบทเจ้ากลอนหนักไปในเรื่องที่เกี่ยวกับบทบาทความเป็นแม่แบบเยอรมัน และบทบาทที่แม่เยอรมัน มีต่อยุโรปยุคใหม่ หลายปีทีเดียวในช่วงที่ผม เติบโตขึ้นมา แม่จะพูดย้ำซ้ำบ่อยๆ ว่า แม่คือสิ่งมีชีวิตผู้ศักดิ์สิทธิ์ ผมเชื่อแม่นะ บทเพลงต่างๆ เกี่ยวกับต้นลินเดน-มะนาวดอกไม้แห่งเยอรมัน และป่าโอ๊กอันศักดิ์สิทธิ์สำหรับสักการะเทพเจ้าโวทัน รินไหลผ่านกระแสเลือดของแม่
มาสู่ตัวผม ในขณะที่คำบรรยายเกี่ยวกับสถานฝังศพในฟรังโคเนียเหนือของชาวเยอรมันก็ทะลุผ่านพุงแม่มาให้ผมได้ยินเช่นกัน เวทีได้ถูกเตรียมไว้ให้ผมแล้ว ผมกำลังจะหลุดพรวดออกไปสู่โลกแห่งบทกวีอันเขียวขจี ที่ส่งผลดีต่อสุขภาพ
วันที่เก้าพฤศจิกายน ค.ศ. 1937 ตำบลฟารร์ไวสัคได้จัดงานประเพณีรื่นเริงประจำถิ่นที่เรียกว่า เคียร์เมส ชาวไร่ชาวนาจากพื้นที่
ข้างเคียง ต่างพากันเข้ามาดื่มกินที่ร้านเหล้าสองแห่งที่มี บ้างก็สนุกกับการจับจ่ายซื้อของจากร้านค้าแผงลอยที่มารวมตัวกัน
ขึ้นเป็นตลาดนัดตอนที่ผมตัดสินใจกระตุกสายสะดือนั้น
พ่อกำลังอยู่นอกเมืองเพื่อดูแลความเป็นระเบียบเรียบร้อย พี่สาวผมอยู่ที่โรงเรียน ส่วนแม่ก็กำลังเดินอุ้ยอ้ายทำโน่นนี่ไปช้าๆ ข้างนอกนั่นกำลังหนาวจัด มีหมอกลง แต่ถึงยังไงผมก็จะยืดอกหาญกล้าออกไปเผชิญหน้ากับมัน เพราะผมดันอยู่ในท้องมานานเกินกำหนด แล้ว จึงสมควรแก่เวลาที่แม่จะต้องเข้าสู่กระบวนการคลอด
แม่ทำในสิ่งที่ผู้หญิงเจ็บท้องคลอดทุกคนในตำบลฟารร์ไวสัคทำคือไปหาเฟรา ชุทซ์ (คุณนายชุทซ์) ซึ่งเป็นหมอตำแยพื้นบ้าน
ที่อาศัยอยู่ไกลสุดทางฝั่งกระโน้นของหมู่บ้าน คุณนายเฮบามม์ ชุทซ์ คนนี้ โด่งดังเรื่องการเป็นนักตัดสายสะดือที่เก่งที่สุด
ในแถบฟรังโคเนียเหนือ เครื่องหมายการค้าของแกคือ สะดือที่เป็นหลุมสวยงาม และปราศจากการติดเชื้อ หลายปีต่อมา เมื่อไหร่ที่แม่ พูดถึงฟารร์ไวสัค แม่ก็จะนึกถึงเฟรา ชุทซ์ และลงท้ายด้วยประโยคที่ว่า “แกเป็นนักตัดแต่งสะดือที่ยอดเยี่ยมที่สุดในฟรังโคเนียเหนือ!”
ซึ่งมันก็จริง! ดังที่ผมเฝ้าชื่นชมความงามของหลุมสะดือตัวเองมาตลอดชีวิต เศษส่วนตกค้างหลังการขลิบเล็มสายสะดือถูกเก็บซ่อน ไว้อย่างสะอาดเกลี้ยงเกลา ภายในโพรงที่มีลักษณะเหมือนตุ่มตูมของกุหลาบที่ทำท่าเหมือนจะคลี่กลีบดอกออกมาได้ทุกยาม เพื่อกำจายกลิ่นหอมหวานมหัศจรรย์
วันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1937 ตอนที่แม่ไปถึง เฟรา ชุทซ์กำลังทำน้ำซุปจากเนื้อหมูตัวเมียที่เพิ่งเชือดใหม่ แม่เห็นแกกำลังก้มๆ เงยๆ อยู่เหนือหม้อแม่ไปยืนข้างๆ โครงกระดูกหมูที่แขวนต่องแต่งห้อยอยู่กับตะขอ อธิบายแกว่า ผมตัดสินใจจะออกมาชมโลกแล้ว และแม่กำลังเจ็บท้องคลอดมากๆ
เฟรา ชุทซ์ ไม่ได้เป็นแค่หมอตำแยเท่านั้น หากแต่แกมีอาชีพชำแหละเนื้อสัตว์ขายด้วย หลังจากที่ใครสักคนประเคนท่อนไม้เข้าที่ หัวหมูแล้ว แกจะเป็นคนเชือดเส้นเลือดแดงใหญ่ที่คอ รองเลือดเก็บไว้ในกระทะใบใหญ่เพื่อทำไส้กรอกเลือดหมู จากนั้น แกก็จะ
กรีดเปิดหน้าท้องหมู ควักเครื่องในออกมา แกเป็นคนมือเปื้อนเลือดที่อารมณ์รุนแรง-แม่บอก บางคราวแกควักตับและหัวใจหมู
ทั้งๆ ที่ยังไม่สิ้นเสียงหวีดร้องของมันเลย เฟรา ชุทซ์ นับเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงกับทั้งสองอาชีพที่แกทำ
วันที่ 9 พฤศจิกายนนั้น แกไม่ได้ดีใจนักกับการได้เห็นหน้าแม่ แกบอกแม่ว่า แกมักเชือดหมูของแกเองในวันเคียร์เมส-เทศกาลรื่นเริง ประจำปี แล้วทำไมนะ ผมจะต้องเลือกเกิดวันนั้นด้วย? ว่าแล้วแกก็ลงมือตรวจครรภ์แม่อย่างลวกๆ ตรงข้างๆ ซากหมูฟรังโคเนียนตัวเมียกับกองไส้กรอกที่ได้จากเจ้าหมูตอนตัวสุดท้ายนั่นเอง จริงๆ แล้วผมจะคลอดตรงนั้นเลยก็ได้ แต่ผมเลือกที่จะซุ่มรอเวลาอย่างสุขุม เฟรา ชุทซ์ บอกว่า ผมจะยังไม่คลอดก่อนตีสองของเช้ามืดนั้นแน่ๆ เฟรา ชุทซ์ เป็นคนที่พูดอะไรแล้ว ไม่เคยผิด แกมีพรวิเศษในเรื่องทำนายเวลาเกิดจริงๆ และแกก็คล่องแคล่วแม่นยำฉับไว ในการประกาศเวลาเกิดออกมา พอๆ กับตอนที่แกตัดสายสะดือและเชือดหมูเลยทีเดียว แม่ผมจึงยอมกลับบ้าน ไปแช่เท้าในอ่างน้ำร้อนและดื่มกาแฟแก่ๆ ตามที่ป้าหมอตำแยแกแนะนำทุกอย่างเป็นไปตามที่ควรเป็น พวกพี่สาวผมรีบจ้ำกลับมาที่บ้านตระกูลคูฮ์นหลังจากมีคนไปบอกว่า นกกระสากำลังจะคาบเด็กทารกมาให้ 16 พวกเธอ พี่สาวคนโตของผมทำท่าเดียดฉันท์ แต่พี่สาวคนรองกลับเฝ้าชะเง้อชะแง้มองออกไปนอกหน้าต่าง ตลอดช่วงเย็นวันนั้น แม่ทำกิจวัตรเหมือนเดิม ยังคงลงมือทำอาหารไว้รอพ่อและโผเข้ายึดเครื่องเรือนเพื่อตั้งหลัก ตอนเกิดอาการเจ็บท้องคลอดขึ้นมา
...
ผมคิดอะไรนะ ตอนที่กำลังลอยละล่องลงมาตามช่องคลอดของแม่สู่ฟรังโคเนีย? ผมจำใจต้องเชื่อพยานคนอื่นๆ ที่เล่าว่า พอพ่อกลับถึงบ้านในตอนเย็น และได้ยินว่าผมจะมาแล้ว พ่อรีบค้นข้อมูลจากหนังสือบันทึกสถิติเพื่อจะดูว่า คนมีชื่อเสียงคนไหนบ้าง ที่เกิดวันที่ 10 พฤศจิกายน แล้วพ่อก็เจอมาร์ติน ลูธาร์ 17 กับฟรีดริค ชิลเลอร์-มหากวีอันดับสองของเยอรมัน ทุกคนพออกพอใจ จริงๆ แล้วยังมีอีกคนด้วยซ้ำ เป็นนักประพันธ์ดนตรีชาวฝรั่งเศสที่พวกเขาไม่เคยได้ยินชื่อมาก่อน ชื่อ โคพาร์ 18 พ่อทำให้ทุกอย่างยิ่งน่าตื่นเต้น ด้วยการพร่ำพูดแต่คำว่า “กุท! กุท!”-เอาไงดี! เอาไงดี! แล้วขยับทำท่าจะออกไปชุมนุมกับกลุ่มสหาย ทางการเมือง แต่แม่ขอไม่ให้พ่อไป เพราะตอนตลอดลูกสองคนก่อนหน้านี้พ่อก็ติดชุมนุมทางการเมืองมาแล้ว จริงๆ แล้ว แม่มีอีกเหตุผลที่จะรั้งตัวพ่อไว้กับบ้านคือ แม่สงสัยว่าพ่อกำลังไปติดพันเอ็นเอส-ครังเคนชเวสตาร์ นางพยาบาลพรรคสังคมนิยมแห่งชาติ คนใหม่ที่เข้ามาดูแลรับผิดชอบ
ตำบลฟารร์ไวสัคและพื้นที่โดยรอบ เธอ-อูเทอ รูเดนโฮฟ ผู้ติดกระดุมเครื่องหมายพรรคไว้ตรงตำแหน่ง หัวใจพอดิบพอดีพ่อยอมอยู่บ้าน แต่ก็พร่ำพูดว่า จะออกจากบ้านทันทีถ้าหากเป็นอีกหนึ่ง “จิ๋ม” เพิ่มขึ้นมา! แต่แม่ก็บอกให้พ่อมั่นใจว่า คราวนี้จะเป็นเด็กผู้ชาย เพราะอาการเจ็บท้องของแม่ต่างจากสองครั้งก่อน
เฟรา ชุทซ์ มาถึงหลังเที่ยงคืน ใบหน้าแกแดง หายใจแรงและมีกลิ่นเครื่องเทศ กลิ่นไส้กรอกเลือดหมูร้อนๆ กับกลิ่นหมูที่ถูกเชือด โชยออกมาจากตัวแก แกบอกพ่อให้นวดหลังให้แม่ แม่นอนยาวเหยียดอยู่บนเตียงสีขาวตัวใหญ่มันวาวจนขึ้นเงาที่มีภาพวาด
มาดอนนาราฟาเอล19 แขวนอยู่บนผนังส่วนผนังอีกด้านแขวนรูปพระเยซูบานใหญ่ขณะกำลังจะเข้าสู่เยรูซาเล็ม องค์เยซูสวมชุดคลุมยาว
สีฟ้าอ่อน ประทับอยู่บนหลังลาที่กำลังย่างเหยาะผ่านดงปาล์ม เข้าสู่เมืองสีขาว ตัวผมที่กำลังม้วนเป็นขดอยู่ในท้องแม่ตอนนั้น
พร้อมแล้วที่จะก้าวออกมาสู่ฟารร์ไวสัค เพียงรอคอยให้เวลาอันสมควรมาถึงเท่านั้น หลังตีสองไม่นาน เฟรา ชุทซ์ ก็รู้ว่าถึงเวลาแล้ว แม่กรีดร้องโหยหวน ส่วนพ่อก็อยากจะเผ่นออกข้างนอกเต็มแก่ แต่เฟรา ชุทซ์ ชิงสั่งว่า “นิกซ์ ดา!” –อย่าทำอย่างนั้น! และบอกให้พ่อ
มองแม่ให้เต็มตา เพราะผู้หญิงจะสวยที่สุดก็ยามที่เธอกำลังให้กำเนิดอีกชีวิตมาลืมตาดูโลกเท่านั้น
ขณะที่แม่กำลังเบ่งสุดแรงเกิด ผมก็คลายตัวออกจากขดเหมือนลวดสปริงที่ถูกปล่อยเป็นอิสระ แล้วลื่นพรวดออกจากมดลูก
ผ่านช่องคลอดคดเคี้ยวและเต็มไปด้วยมูกเมือ จนสุดท้ายก็ผ่านตัวแม่ออกมาสู่ฟรังโคเนียที่มีสองมือของเฟรา ชุทซ์ ซึ่งเพิ่งเชือดหมูตัวโตมาหมาดๆ รองรับอยู่ ในที่สุด พ่อของผมที่ยังอยู่ในรองเท้าบู๊ทสีดำกับเครื่องแบบสีเขียว จ้องมองผมเขม็ง
เฟรา ชุทซ์ตัดสายสะดือและบอกว่า เป็นเด็กผู้ชาย! ผมเริ่มแผดเสียงร้องดังที่ทุกคนคาดไว้ แต่แล้วก็ผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
ทันใจเช่นกัน ด้วยความเหนื่อยอ่อนจากการคลอด แม่ก็อยู่ในสภาพเดียวกับผมและแล้ว อาณาจักรนี้ก็มีหัวข้อใหม่ให้พูดคุย
ในคอกม้าของบ้านตระกูลคูฮ์นที่อยู่อยู่ถัดไป ฝูงวัวทั้งหลายส่งเสียงร้องมอ ม้าที่กำลังหลับสะดุ้งเตะคอกจนต้องลุกยืน เฟรา ชุทซ์ กลับบ้านไปโดยทิ้งท้ายว่า ช่างเป็นวันที่สาหัสนัก เริ่มด้วยหมูตอนตัวโต และจบลงตรงนี้—เด็กชายน้ำหนักเก้าปอนด์!
12 Medieval Age ยุคกลางของยุโรปหมาย
13 Baroque คือศิลปะตะวันตกซึ่งเริ่มประมาณต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 ณ กรุงโรม ประเทศอิตาลี โดยเน้นที่ความเป็นนาฏกรรม เนื้อหาของศิลปะจะปรากฏทั้งความขัดแย้ง (tension) และความหรูหรา
14 Lichtenstein ราชรัฐลิคเตนสไตน์ก่อตั้งขึ้นในวันที่ 23 มกราคม ค.ศ. 1719 (พ.ศ. 2262) ตามพระราชบัญญัติ ของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ เมื่อเข้าสู่ช่วงสงครามนโปเลียน ลิคเตนชไตน์เป็นหนึ่งในสมาพันธรัฐเยอรมันและได้รับเอกราชอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1866 (พ.ศ. 2409) โดยมีเมืองหลวงชื่อ วาดุซ
15 SA Sport medal คือ เหรียญประดับยศของทหารกองหนุนฮิตเลอร์ ซึ่งแบ่งเป็นสามระดับคือ เหรียญทอง เงินและทองแดง กองตำรวจภูธรสังกัดหน่วยทหารกองหนุนเอสเอ
16 เชื่อกันว่าตำนานนกกระสาคาบเด็กเริ่มตั้งแต่ยุคกลาง จากทางตอนเหนือของเยอรมัน ซึ่งมักมีเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับการ
ให้กำเนิดบุตรอยู่แล้ว เรื่องของนกกระสาที่นำเด็กมาส่งให้ครอบครัวทางปล่องไฟนั้น อาจเกิดจากการตั้งข้อสังเกตของผู้คนว่า นกกระสามักมาทำรังอยู่เหนือปล่องตามบ้านคนในช่วงฤดูกาลอพยพของพวกมัน
17 Martin Luther (10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2026 - 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2088) นักบวชเยอรมัน หนึ่งในผู้ปฏิรูปศาสนาคริสต์ โดยแยกมาเป็นนิกายโปรเตสแตนต์ เพราะไม่เห็นด้วยกับคำสอนของคริสตจักรโรมันคาทอลิกบางข้อ
18 François Couperin
19 ภาพเขียนที่ชื่อ Raphael Madonna หรือ Sistine Madonna เป็นภาพสีน้ำมันของจิตรกรเอกชาวอิตาเลียนชื่อ Raphael ที่วาดด้วยมือของเขาเองเมื่อราวพ.ศ. 2056 เป็นภาพวาดสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิต ภาพวาดพระแม่มารีชิ้นสำคัญนี้
เป็นภาพพระแม่มารีกำลังอุ้มพระบุตรคือพระเยซู ภาพนี้มีความหมายต่อชาวเยอรมันมาก และแม้จะถูกโยกย้าสถานที่เก็บรักษา
ไปหลายแห่ง แต่สุดท้าย แล้วบัดนี้ ภาพเดิมของแท้ก็ได้ถูกนำมาเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ภาพในประเทศเยอรมนี